วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

Summarization

Summarization คือการ รวมรวม IP หลายๆ networks ให้เหลือ network เดียว โดย จะต้อง
ครอบคลุม IP หลายๆ networks นั้นด้วย เช่น ตามรูปด้านล่าง


จากรูปที่3.16 วิธีการหา Summarization ทำได้โดยการแปลง IP เป็นฐานสองทั้งหมด แล้วดูเฉพาะตัว
เลขที่เหมือนกันสิ้นสุดที่ไหน ก็จะทำการmask ตรงนั้น

172.1.4.0/25 10101100 . 00000001 . 00000100 . 00000000
172.1.5.0/24 10101100 . 00000001 . 00000101 . 00000000
172.1.6.0/24 10101100 . 00000001 . 00000110 . 00000000
172.1.7.0/24 10101100 . 00000001 . 00000111 . 00000000
172.1.4.128/25 10101100 . 00000001 . 00000100 . 10000000

ดังนั้นจาก networks ทั้งหมดจะเห็นว่า ตัวเลขที่เหมือนกันจะสิ้นสุดที่bits ที่22 ดังนั้นจะmask 22
bits ( /22 ) ก็จะได้Summarization เป็น 172.1.4.0/22
หรือ ถ้าสามารถ คำนวณ IP ได้เร็วก็ไม่ต้องแปลง IP เป็นฐานสองก็ได้ โดยใช้วิธีสังเกตุจะเห็นว่า ตัวเลขจะ
เหมือนกันใน 2 หลักแรกอยู่แล้ว มีหลักที่สาม ที่แตกต่างกันคือตัวเลข 4 ,5 ,6 และ 7 ซึ่งมี4 ตัว คือ 4-7 ก็
จะได้คำตอบ 172.1.4.0/22 เช่นกัน

Reference :Jodoi.com

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

VLSM

Variable Length Subnet Masks ( VLSM )

จากหลักการ เครือข่ายที่เราใช้งานกันอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องมีขนาดเท่ากันเสมอไป (ไม่จำเป็นต้องมี ตัวMask
เท่ากัน ) เช่น การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด (Point-to-Point) ต้องการแค่2 IP ก็เพียงพอ ดังนั้นก็ควร
Mask 30 bit ( /30 ) หรือใช้subnet mask เป็น 255.255.255.252 , หรือการเชื่อต่อใน
LAN ที่มีเครื่องเพียง 20 เครื่อง ก็ควรmask 27 bit ( /27 ) หรือ ใช้subnet mask เป็น
255.255.255.224 เป็นต้น ดังตัวอย่างในรูปด้านล่าง ใช้หลักการของVLSM จะเห็นว่าแต่ละ
subnet จะมีตัวmask ต่างกันตามความเหมาะสม

ประโยชน์ของการใช้VLSM ยังมีดังนี้
•VLSM จะยอมให้มีการแบ่ง Subnet ได้มากกว่า 1 ครั้งสำหรับแต่ละชุด IP เพื่อให้ได้ขนาด IP ตามที่
ต้องการ
•VLSM จะช่วยลดจำนวนการจัดสรร IP ลง เป็นการใช้งาน IP อย่างมีประสิทธิภาพ
•VLSM ยังช่วยให้Router ทำงานได้เร็วขึ้นเนื่องจากขนาดของ Routing Table เล็กลง

ตัวอย่างการทำVLSM


จากรูปด้านบนถ้ากำหนด IP มาให้ เป็น 192.168.55.0 /24 ให้ทำการแบ่ง จำนวน host ให้เหมาะสมกับแต่
ละวงโดยการทำVLSM จะได้ดังนี้
เมื่อดูตามค่าของ IP ที่ให้มาจะเห็นว่า ไอพีจะเริ่มตั้งแต่192.168.55.0 ไปจนถึง 192.168.55.255 หรือ
จาก 0-255 ตัว โดยใช้เรื่องของ subnet มาช่วยจะได้ดังนี้
วงที่ 1 ต้องการ 7 hosts จะได้Mask ที่ต้องการคือMask 28 IP ที่ใช้งานได้เริ่มตั้งแต่
192.168.55.0 ถึง 192.168.55.15 IP ที่เหลือที่ยังไม่ได้ใช้คือ 16-255
วงที่ 2 ต้องการ 2 hosts จะได้Mask ที่ต้องการคือMask 30 IP ที่ใช้งานได้เริ่มตั้งแต่
192.168.55.16 ถึง 192.168.55.19 IP ที่เหลือที่ยังไม่ได้ใช้คือ 20-255
วงที่ 3 ต้องการ 90 hosts จะได้Mask ที่ต้องการคือMask 25 วงที่ได้จะมี0-127 และ 128-255
IP ที่ใช้งานไปแล้วคือ 0-19 ดังนั้น IP ที่ใช้งานได้คือตั้งแต่192.168.55.128 ถึง 192.168.55.255
IP ที่เหลือที่ยังไม่ได้ใช้คือ 20-128
วงที่ 4 ต้องการ 2 hosts จะได้Mask ที่ต้องการคือMask 30 IP ที่ใช้งานได้เริ่มตั้งแต่
192.168.55.20 ถึง 192.168.55.23 IP ที่เหลือที่ยังไม่ได้ใช้คือ 24-127
วงที่ 5 ต้องการ 23 hosts จะได้Mask ที่ต้องการคือMask 27 วงที่ได้จะมี0-31และ 32-63 IP ที่
ใช้งานไปแล้วคือ 0-23 จะแห็นได้ว่าวง 0-31 นั้นไม่พอเนื่องจากมีการใช้งานไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องมาใช้วง
32-63 แทน IP ที่ใช้งานได้จึงเริ่มตั้งแต่192.168.55.32 ถึง 192.168.55.63
แค่นี้ก็สามารถที่จะจัดระบบของจำนวนไอพีให้แก่ network ในวงแต่ละวงได้อย่างเหมาะสมโดยใช้หลักการ
ของ VLSM

Referance :Jodoi.com

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

คำศัพท์ที่ควรรู้

คำศัพท์ที่ควรรู้

Classful และClassless
Classful จะสนใจ Class ของ IP เป็นหลักจะไม่สนใจตัวMask ดูตัวเลข IP ว่าอยู่Class ไหน เช่น อยู่
Class A ,B หรือ C ตามนี้
Class A ( 0.0.0.0 - 127.255.255.255 )
Class B ( 128.0.0.0 - 191.255.255.255 )
Class C (192.0.0.0 - 223.255.255.255 )

ในการใช้IP Address ช่วงแรกๆจะเป็นแบบ Classful ซึ่ง Classful จะ มีค่า default subnet mask
ดังนี้



ดังนั้นถ้าเราใช้หลักการของ Classful ก็ไม่สามารถแบ่ง Subnet ได้แตกต่างจากค่า Default Subnet Mask

ตัวอย่าง routing protocols : ที่เป็นแบบClassful
• RIP Version 1 (RIPv1)
• IGRP

ส่วน Classless จะตรงข้ามกับ Classful คือจะไม่สนใจ Class ของ IP แต่จะสนใจตัวMask เป็น
หลัก อย่างเช่นที่คำนวณตามตัวอย่างที่ผ่านมา โดยจะเป็นไปตามหลักการของ Classless Inter-
Domain Routing (CIDR) ดังนั้น ตัวMask จะเป็นอะไรก็ได้บ ไม่สนใจว่า IP อยู่Class ไหน

ตัวอย่าง routing protocols : ที่เป็นแบบClassless ได้แก่
• RIP Version 2 (RIPv2)
• EIGRP
• OSPF
• IS-IS

Referance :Jodoi.com

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

คำสั่งที่ Admin ควรรู้

ลำดับ คำสั่ง ความหมาย
1. regedit หรือ regedit32 Register Editor
2. eventvwr.msc Events Viewer ตรวจสอบปัญหาของเครื่องคอมฯ
3. inetcpl.cpl Internet Properties
4. drwtsn32 Dr. Watson System Troubleshooting Utility
5. gpedit.msc Group Policy Editor (Windows XP Professional)
6. ipconfig แสดง IP Address (ipconfig /all,ipcofig/release,
ipconfig/renew)
7. services.msc แสดง Services ที่เปิดใช้งานอยู่
8. fsmgmt.msc ตรวจสอบ Share Folders
9. sfc System File Check Utiltiy (รันผ่าน dos command)
10. firewall.cpl เรียกดู Windows Firewall

Reference :Gotoknow.org

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

การคำนวณ IPV4

การคำนวณ IPV4

เมื่อเราได้IP Address มา 1 ชุด สิ่งที่จะต้องบอกได้จาก IP Address ที่ได้มาคือ
1. Subnet Mask คือ IP Address อะไร
2. Network IP คือ IP Address อะไร
3. Broadcast IP คือ IP Address อะไร
4. Range host IP ที่สามารถนำมาใช้งานได้ มีIP อะไรบ้าง
5. จำนวน Subnet , จำนวน host / Subnet

Subnet Mask ทำหน้าที่แบ่ง network ออกเป็นส่วนย่อยๆ ลักษณะคล้ายกับ IP Address
คือประกอบด้วยตัวเลข 4 ตัวคั่นด้วยจุด เช่น 255.255.255.0 วิธีการที่จะบอกว่า computer แต่ละเครื่องจะ
อยู่ใน network วงเดียวกัน (หรืออยู่ใน subnet เดียวกัน) หรือไม่นั้นบอกได้ด้วยค่า Subnet Mask

วิธีการหา Subnet Mask
/30 หมายถึง mask 30 bits แรก
/27 หมายถึง mask 27 bits แรก
/20 หมายถึง mask 20 bits แรก

ให้ทำการแปลง mask bit ที่กำหนดให้ เป็นค่า Subnet Mask
วิธีการคือ bits ที่อยู่หน้าตัวmask ให้แทนด้วยเลข 1 bits ที่อยู่หลังให้แทนด้วยเลข 0
Ex /30
/30 - 11111111 . 11111111 . 11111111 . 111111/00
จะได้ค่า Subnet Mask
/30 - 255.255.255.252
Ex /27
/27 - 11111111 . 11111111 . 11111111 . 111/00000
จะได้ค่า Subnet Mask
/27 - 255.255.255.224
Ex /20
/20 - 11111111 . 11111111 . 1111/0000 . 00000000
จะได้ค่า Subnet Mask
/20 - 255.255.240.0

ตัวอย่าง Subnet Mask ต่างๆ มีดังนี้
Mask ที่เป็นค่า default ของ IP Class ต่างๆมีดังนี้
Class A = Mask 8 bits = 255 . 0 . 0 . 0
Class B = Mask 16 bits = 255 . 255 . 0 . 0
Class C = Mask 24 bits = 255 . 255 . 255 . 0
Subnet mask ทั่วไป
Mask 10 = 255 . 192 . 0 . 0 Mask 21 = 255 . 255 . 248 . 0
Mask 11 = 255 . 224 . 0 . 0 Mask 22 = 255 . 255 . 252 . 0
Mask 12 = 255 . 240 . 0 . 0 Mask 23 = 255 . 255 . 254 . 0
Mask 13 = 255 . 248 . 0 . 0 Mask 25 = 255 . 255 . 255 . 128
Mask 14 = 255 . 252 . 0 . 0 Mask 26 = 255 . 255 . 255 . 192
Mask 15 = 255 . 254 . 0 . 0 Mask 27 = 255 . 255 . 255 . 224
Mask 17 = 255 . 255 . 128 . 0 Mask 28 = 255 . 255 . 255 . 240
Mask 18 = 255 . 255 . 192 . 0 Mask 29 = 255 . 255 . 255 . 248
Mask 19 = 255 . 255 . 224 . 0 Mask 30 = 255 . 255 . 255 . 252
Mask 20 = 255 . 255 . 240 . 0 Mask 31 = 255 . 255 . 255 . 254

เพื่อให้การแปลงตัวเลขจากเลขฐานสอง เป็นฐานสิบเร็วขึ้นให้ดูจากด้านล่าง เช่นถ้าเป็น เลข 1 ทั้งหมด
จะได้เลข ฐานสิบคือ 255 ถ้าเป็นเลข 1 จำนวน 4 ตัวจะคือ 240 ถ้าเป็นเลข 0 ทั้งหมด จะได้เลข 0



หลังจากได้Subnet Mask แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหา Network IP และ Broadcast IP
Network IP คือ IP ตัวแรกของ Subnet ปกติจะเอาไว้ประกาศเรื่องของ Routing จะไม่สามารถนำมา
Set ให้แก่อุปกรณ์หรือเครื่อง PC ได้

Broadcast IP คือ IP ตัวสุดท้ายของ Subnet ปกติจะทำหน้าที่Broadcast ให้อุปกรณ์ที่อยู่ในวง
เดียวกัน จะไม่สามารถนำมา Set ให้แก่อุปกรณ์หรือเครื่อง PC ได้เช่นกัน

Ex.1 192.168.22.50/30
จากโจทย์ /30 เมื่อแปลงเป็น Subnet Mask จะได้255.255.255.252
ให้ดูจากที่เขียนไว้ด้านบนนะครับ ถ้าเป็น 1 หมดทั้ง 8 ตัวจะได้255 ( แปลงจากฐานสองเป็นฐานสิบ )
เป็น 1 ทั้งหมด 6 ตัวจะได้252 ดังนั้นจึงได้subnet mask เป็น 255.255.255.252
ต่อไป หาว่า จำนวน IP ต่อ Subnet มีจำนวนเท่าไหร่ จากค่า Subnet Mask ที่ให้มา
ดูที่2 bit ที่เหลือ ที่เป็นอะไรก็ได้นั้น ตัวเลขที่เป็นไปได้หมดคือ 00 , 01 , 10 , 11 มี4 ตัว สรุปคือ จำนวน
IP ต่อ Subnet เมื่อ Subnet Mask คือ 255.255.255.252 คือ 4 ตัว นั่นเอง
หรือใช้วิธีลัดดูจากที่เขียนไว้ ตัวเลขที่อยู่บน 252 คือ 4 ตามด้านล่างครับ



และเมื่อนำ00 , 01 , 10 , 11 แปลงเป็นฐานสิบจะได้
00 แปลงเป็นฐานสิบจะได้0
01 แปลงเป็นฐานสิบจะได้1
10 แปลงเป็นฐานสิบจะได้2
11 แปลงเป็นฐานสิบจะได้3
ดังนั้นถ้า /30 จำนวน IP ในแต่ละ subnet ที่จะเป็นไปได้ก็คือ 0-3 , 4-7 , 8-11 , _ _ _ , 252-255 หรือ
192.168.22.0 - 192.168.22.3
192.168.22.4 - 192.168.22.7
192.168.22.8 - 192.168.22.11
-----------
192.168.22.48 - 192.168.22.51
---------
192.168.22.252 - 192.168.22.255
โดย IP Address ตัวแรกของแต่ละ subnet จะเรียกว่า Network IP และ IP Address ตัวสุดท้ายของแต่
ละ subnet จะเรียกว่า Broadcast IP ดังนั้น
จากโจทย์192.168.22.50/30
1. Network IP คือ IP Address อะไร
ตอบ 192.168.22.48
2. Broadcast IP คือ IP Address อะไร
ตอบ 192.168.22.51
3. Range host IP ที่สามารถนำมาใช้งานได้ หรือ จำนวน host Per Subnet
ตอบ 192.168.22.49 - 192.168.22.50 นำIP มา set เป็น host ได้2 IP

วิธีการหา Network IP นอกเหนือจากการเขียนตามด้านบนแล้วยังหาได้โดย
- วิธีการปกติทำได้โดยการนำเอา Subnet Mask มา AND กับ IP Address ที่ให้มา ผลที่ได้จะ
เป็น Network IP วิธีนี้หนังสือหลายเล่มมีอธิบายแล้ว
- วิธีการหาร นำIP จากโจทย์ที่ให้มา ตั้งหารด้วยจำนวน IP ที่มีได้ใน Subnet เช่น
192.168.22.50/30 ให้นำเอาตัวเลข 50 หารด้วย 4 ดังด้านล่าง


เมื่อได้Netwok IP แล้ว ก็จะได้คำตอบเช่นเดียวกับด้านบน

Ex.2 192 .168.5.33/27 which IP address should be assigned to the PC host ?
A.192.168.5.5
B.192.168.5.32
C. 192.168.5.40
D. 192.168.5.63
E. 192.168.5.75

จากโจทย์/27 จะหมายถึง
11111111 . 11111111 . 11111111 . 111/XXXX X = mask 27 bit แรก ต้องเป็นเลข 1 ส่วน 5
bit หลัง เป็นอะไรก็ได้
/27 เมื่อแปลงเป็นเลขฐานสิบจะได้255 . 255 . 255 . 224
หรือจะคิดแบบลัด ที่ผมให้เขียนไว้ด้านบนก็ได้ ดูบรรทัดที่4 จะหมายถึงผลบวกของ bit ใน 8 bit สุดท้ายครับ
111 ก็คือ 128+64+32 = 224
เมื่อ ได้Subnet Mask แล้ว เราก็จะรู้ว่ามีจำนวน IP ต่อ Subnet เท่ากับ 32 หรือจะดูจากที่เขียนไว้ด้านบน
ของ 224 ก็คือ 32 นั่นเอง
จากโจทย์192 .168.5.33/27 จะใช้วิธีไหนก็ได้หาตัว Network มาให้ได้ก่อน
192.168.5.33/27 หมายถึบ 192.168.5.32 - 192.168.5.63 โดย IP ตัวแรกจะเป็น Network IP (
192.168.5.32 ) และ IP ตัวสุดท้ายจะเป็น Broadcast IP ( 192.168.5.63 ) ซึ่งไม่สามารถใช้set
ให้แก่PC ได้ ดังนั้นจะเหลือ IP ที่สามารถ Set ให้แก่PC ได้คือ 192.168.5.33 - 192.168.5.62
คำตอบจึงเป็นข้อ C. 192.168.5.40

Ex.3 IP 10.10.10.0/13 เป็น IP ที่เอาไปใช้งานได้หรือไม่
IP ที่สามารถเอาไปใช้งานได้ จะต้องไม่ตรงกับ Network IP หรือBroadcast IP
วิธีการคิดก่อนอื่นเราต้องทำการแปลง /13 หรือmask 13 bit ให้เป็น subnet mask
11111111 . 11111/XXX . XXXXXXXX . XXXXXXXX = mask 13 bit
แรก ต้องเป็นเลข 1 ส่วน bit ที่เหลือเป็นอะไรก็ได้
/13 เมื่อแปลงเป็นเลขฐานสิบจะได้255 . 248 . 0 . 0
จากโจทย์ เขียนใหม่ได้ดังนี้IP 10.10.10.0 subnet mask 255.248.0.0
ขั้น ต่อไปเราจะมาหาช่วง IP จาก subnet mask ที่หามาได้255.248.0.0 หลักที่1 จะมีค่าคงที่คือเลข
10 หลักที่3 และหลักที่4 นั้น ตัวเลขที่เป็นไปได้คือ 0 - 255 ส่วนหลักที่2 นั้น เราต้องมาคำนวณนิด
หน่อย ก็เว้นไว้ก่อน เขียนช่วง IP จะได้ดังนี้คือ
10 . X . 0 . 0 - 10 . X . 255 . 255
ถ้า เราพิจารณาเฉพาะ 248 (ดูเฉพาะตัวเลขกลุ่มที่2 ) ถ้าดูจากรูปด้านบน บรรทัดที่3 ซึ่งจะหมายถึง IP ที่มี
ได้ทั้งหมด ก็คือ 8 ตัว คือ 0-7 , 8-15 , 16- 23 , _ _ _ , 248-255 หรือเขียนเต็มๆจะได้
10 . 0 . 0 . 0 - 10 . 7 . 255 . 255
10 . 8 . 0 . 0 - 10 . 15 . 255 . 255 ------------> จากโจทย์10.10.10.0 จะอยู่ในช่วงนี้
10 . 16 . 0 . 0 - 10 . 23 . 255 . 255
------------
10 . 248 . 0 . 0 - 10 . 255 . 255 . 255
จากโจทย์ 10.10.10.0/13 ก็จะคือ IP ในช่วง 10 .8 . 0 . 0 - 10 . 15 . 255 . 255
1. Network IP คือ IP Address อะไร
ตอบ 10 . 8 . 0 . 0
2. Broadcast IP คือ IP Address อะไร
ตอบ 10 . 15 . 255 . 255
3. Range host IP ที่สามารถนำมาใช้งานได้
ตอบ 10 . 8 . 0 . 1 - 10 . 15 . 255 . 254 ดังนั้น IP 10.10.10.0/13 จึงนำมาใช้งานได้

การหาจำนวน Subnet และ จำนวน hosts / Subnet
การหาจำนวน hosts ต่อ Subnet จากค่า Subnet Mask ที่ให้มา จะใช้ สูตร
2n - 2
โดย n คือจำนวน bits ที่อยู่หลังตัวMask ส่วนเลข 2 ที่ลบออกไปคือ Network IP และ Broadcast IP
เช่น /30 11111111 . 11111111 . 11111111 . 111111/00
หรือ 255.255.255.252 จะได้
จำนวน hosts/Subnet = 2n - 2 = 22 - 2 = 4 - 2 = 2
/20 11111111 . 11111111 . 1111/0000 . 00000000
หรือ 255.255.240.0
จำนวน hosts/Subnet = 2n - 2 = 212- 2 = 4096 - 2 = 4094
การหาจำนวน Subnet จากค่า Subnet Mask ที่ให้มา ปัจจุบันใช้สูตร
2n ไม่ต้องลบ 2 เนื่องจากว่า ปัจจุบันทุก Subnet สามารถใช้ได้ทั้งหมด และใน router cisco เองมีการ
เพิ่ม IP Subnet Zero ไว้อยู่แล้ว
โดย n คือจำนวน bits ที่อยู่หน้าตัวMask ถึงตำแน่ง . (dot) ที่ใกล้ที่สุดหรือตำแหน่งที่ระบุไว้
เช่น /30 11111111 . 11111111 . 11111111 . 111111/00
หรือ 255.255.255.252 จะได้
จำนวน Subnet = 2n = 26 = 64
/20 11111111 . 11111111 . 1111/0000 . 00000000
หรือ 255.255.240.0
จำนวน Subnet = 2n = 24 = 16
เปลี่ยนจาก /20 เป็น /27 จะได้กี่Subnet อันนี้ระบุMask ต้นทางมาจะได้
11111111 . 11111111 . 1111/1111 . 111/00000
จำนวน Subnet = 2n = 27 = 128

Referance :Jodoi.com

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

IP Address

IP Address หรือ Internet Protocol Address มีความสำคัญอย่างไร และเกี่ยวข้องอะไรกับ
เราบ้าง ปัจจุบันคงไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว IP Address เป็นหมายเลขที่ใช้กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ
อุปกรณ์ Network ต่างๆ เช่น Router, Switch , Firewall , IP Camera , IP Phone , Access
point , เป็นต้น และอีกไม่นานอุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์สื่อสารทุกประเภทที่จะออกวางจำหน่ายจะมีIP
Address ติดมาด้วยจากโรงงานเลยทีเดียว IP Address ที่ใช้ในปัจจุบันนั้นจะเป็นชนิดที่เรียกว่า IPv4
(IP version 4) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จึงมีการพัฒนาเป็น IPv6 (IP version 6) เพื่อรองรับ
อุปกรณ์และเทคโนโลยีใหม่ๆที่ต้องใช้IP Address ในการติดต่อสื่อสาร และในเมืองไทยเองก็มีการใช้IPv6
ในหลายหน่วยงานแล้ว หน่วยงานที่จัดสรร IP Address ให้ในแถบ Asia Pacific คือAPNIC ผู้
ให้บริการ Internet หรือ ISP จะขอ IP จาก APNIC แล้วนำมาแจกจ่ายให้แก่ลูกค้าของ ISP นั้นๆอีกต่อไป
สำหรับผู้ที่จะสอบใบ Certificate ค่ายต่างๆ เช่น CCNA , CCNP , LPI , Security + ,
CWNA เป็นต้น ล้วนแล้วแต่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ IP Address ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ IPv4 จะต้องคำนวณ
ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
IPv4
IPv4 ประกอบด้วยเลขฐานสอง 32 bits (4 bytes ,( 8bits=1byte)) แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 8
bits แต่ละกลุ่มนั้นจะคั่นด้วย . ( Dot )

กรณีตัวเลขน้อยสุดหรือเป็น เลข 0 ทั้งหมด - 00000000 . 00000000 . 00000000 . 00000000
กรณีตัวเลขมากสุดหรือเป็น เลข 1 ทั้งหมด - 11111111 . 11111111 . 11111111 . 11111111

เมื่อแปลงเป็นเลขฐาน 10 จะได้

กรณีตัวเลขน้อยสุดหรือเป็น เลข 0 ทั้งหมด - 0.0.0.0
กรณีตัวเลขมากสุดหรือเป็น เลข 1 ทั้งหมด - 255.255.255.255

ก่อนการคำนวณเรื่อง IP เพื่อความรวดเร็ว ให้เขียนตามด้านล่างนี้


IPv4 จะมีตัวเลขที่เป็นไปได้ทั้งหมดคือตั้งแต่ 0.0.0.0 - 255.255.555.555
สามารถแบ่ง IPv4 ได้เป็น 5 แบบ หรือ 5 Class ตามด้านล่าง โดยวิธีการแบ่งจะอ้างอิงจาก byte ที่1 ดังนี้

class A - byte ที่1 ตัวเลขบิตแรก จะเป็น 0
class B - byte ที่1 ตัวเลขบิตแรกจะเป็น 1 บิตที่2 จะเป็น 0
class C - byte ที่1 ตัวเลข 2 บิตแรก จะเป็น 1 บิตที่3 จะเป็น 0
class D - byte ที่1ตัวเลข 3 บิตแรก จะเป็น 1 บิตที่4 จะเป็น 0
class E - byte ที่1 ตัวเลข 4 บิตแรกจะเป็น 1

ดังนั้นจะได้ผลตามรูปด้านล่าง



จะได้IP ในแต่ละ Class ดังนี้

Class A จะเริ่มต้นตั้งแต่ 0.0.0.0 ถึง 127.255.255.255
Class B จะเริ่มต้นตั้งแต่ 128.0.0.0 ถึง 191.255.255.255
Class C จะเริ่มต้นตั้งแต่ 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.255
Class D จะเริ่มต้นตั้งแต่ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255
Class E จะเริ่มต้นตั้งแต่ 240.0.0.0 ถึง 255.255.255.255

IP ที่สามารถนำไป Set ให้อุปกรณ์ได้จะมีอยู่3 Class คือ Class A, B และ C ส่วน IP Class D จะสงวน
ไว้ใช้สำหรับ multicast applications และ IP Class E จะสงวนไว้สำหรับงานวิจัย หรือไว้ใช้ในอนาคต

IPv4 ยังแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Public IP ( IP จริง ) และ Private IP ( IP ปลอม )
- Public IP ( IP จริง ) คือ IP ที่สามารถ set ให้อุปกรณ์network เช่น Server หรือ Router
แล้วสามารถติดต่อสื่อสารกับ Public IP ( IP จริง ) ด้วยกัน หรือออกสู่Network Internet ได้
ทันที
- Private IP ( IP ปลอม ) สามารถนำมา ใช้set ให้กับ PC หรืออุปกรณ์ในออฟฟิตได้แต่ไม่สามารถ
ออกสู่ Public IP หรือออก Internet ได้ ต้องมีอุปกรณ์ Gateway เช่น Router ,Server หรือ
Modem DSL เปิด Service NAT ( Network Address Translation ) ไว้ จึงจะสามารถออกสู่
Internet ได้

Private IP จะมีเฉพาะ Class A,B และ C ดังนี้
Class A : 10.x.x.x ( 10.0.0.0 - 10.255.255.255 )
Class B : 172.16.x.x - 172.31.x.x ( 172.16.0.0 - 172.31.255.255 )
Class C : 192.168.x.x ( 192.168.0.0 - 192.168.255.255 )

Referance : jodoi.com

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

การเข้าหัว RJ45

การเข้าหัว RJ45
แบบ EIA/TIA 568B ,แบบ EIA/TIA 568A
การเข้าสาย straight เช่นจาก hub ไปยัง computer หรือจาก router (ethernet) ไปยัง hub ให้เชื่อมต่อแบบ EIA/TIA 568B ทั้งสองข้าง

การเข้าสายแบบ Cross เช่นจาก hub ไปยัง hub , จาก computer ไปยัง computer , จาก router (ethernet) ไปยัง computer ให้เข้าสายโดยข้างหนึ่งเป็นแบบ EIA/TIA 568B และอีกข้างเป็น EIA/TIA 568A


แบบ EIA/TIA568A





แบบ EIA/TIA568B (CROSS)





Referance : Compspot.net














วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

Basic Network (Lan,Man and Wan).

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปผ่านสื่อที่เป็นตัวกลางรับ-ส่งข้อมูลเช่น สายเคเบิล หรือ ดาวเทียม เป็นต้น โดยวัตถุประสงค์ของการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น การติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน การใช้ทรัพยากรต่างๆ ร่วมกัน การใช้ข้อมูลต่างๆ ร่วมกัน เป็นต้น

ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น สามารถแบ่งออกตามขนาดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เครือข่ายนั้นตั้งอยู่และ ลักษณะการใช้งานได้เป็น 6 ประเภทดังนี้

1. Local Area Network (LAN)
Local Area Network คือ เครือข่ายข้อมูลความเร็วสูง โดยจะครอบคลุมพื้นที่ไม่ใหญ่มาก เช่น ภายในสํานักงาน ภายในอาคาร หรือภายในองค์กรหรือบริษัท โดยคอมพิวเตอร์แต่ละตัวจะต่อเข้ากับอุปกรณ์เครือข่าย อย่างเช่น ฮับ (Hub), สวิทชิ่งฮับ (Switching Hub) หรือ Access Point ด้วยสายคู่ตีเกลียว (Unshield Twisted Pairs หรือ UTP) หรือด้วยคลื่นวิทยุ และอุปกรณ์เครือข่ายแต่ละตัวการเชื่อมต่อถึงกันโดยใช้สายคู่ตีเกลียว (Unshield Twisted Pairs หรือ UTP) หรือสายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) หรือการสื่อสารแบบคลื่นวิทยุ (Wireless) แบบใดแบบหนึ่งหรือผสมผสานกันก็ได้ และแต่เครือข่าย Local Area Network (LAN) จะเชื่อมต่อถึงกันด้วยอุปกรณ์ที่ชื่อเราเตอร์ (Router)

2. Metropolitan Area Network (MAN)
Metropolitan Area Network คือ เครือข่ายข้อมูล ที่ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN เช่น การเชื่อมต่อระหว่างองค์กรต่างๆ ภายในอําเภอหรือจังหวัด เป็นลักษณะการนำเครือข่าย LAN หลายๆ เครือข่ายที่อยู่ห่างกันมาต่อถึงกันผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น ไมโครเวฟ (Microwave),คลื่นวิทยุ, ผ่านดาวเทียม, คู่สายสัญญาณเช่า (Leased line), หรือ ทางดิจิตอลสคริปเบอร์ (DSL) โดยการเชื่อมต่อระหว่างแต่ละเครือข่ายนั้นอาจมีความเร็วไม่สูงมาก

3. Wide Area Networks (WAN)
Wide Area Networks (WAN) คือ เครือข่ายที่เกิดจากการเชื่อมตอเครือข่ายแบบ LAN ที่อยู่ห่างไกลกันมากๆ เข้าด้วยกัน โดยจะที่ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่กว่าแบบ MAN เช่น การเชื่อมตอระบบเครือข่ายระหว่างจังหวัด หรือระหว่างประเทศ โดยจะเชื่อมต่อด้วย คู่สายเช่า (Leased line) ระบบไมโครเวฟ หรือผ่านดาวเทียม และการเชื่อมต่อระหว่างแต่ละโหนดนั้นอาจมีความเร็วไม่สูงมาก

4. Intranet
Intranet คือ เป็นระบบเครือข่ายภายในองค์กร ที่นำเทคโนโลยีแบบเปิดจากอินเตอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้ภายในองค์กร เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกัน การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนการทำงานต่างๆร่วมกันของระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร เช่น การใช้งานเว็บเซิร์ฟเวอร์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารหรือประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

5. Extranet
Extranet คือ เครือข่ายแบบพิเศษซึ่งเชื่อมเครือข่ายภายในองค์กร (Intranet) เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกองค์กร เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ของสาขา ของผู้จัดจำหน่าย หรือของลูกค้า โดยจะอนุญาตและควบคุมให้ใช้งานเฉพาะสมาชิกขององค์กรหรือผู้ที่ได้รับสิทธิ์ ในการใช้งานเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การใช้งานแบบเครือข่ายเสมือนส่วนตน (Virtual Private Network หรือ VPN ) จากระยะไกล (Remote) ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อเข้าใช้งานระบบฐานข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ในบริษัท เป็นต้น

6. Internet
Internet คือ เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายย่อยๆ แบบต่างๆ จำนวนมากที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอินเตอร์เน็ตคือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่ สุดในโลก นั้นคือเป็น “เครือข่ายของเครือข่าย” (A network of networks)

อุปกรณ์พื้นฐานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ในการสร้างหรือติดตั้งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พื้นฐานต่างๆ คือ Computer พร้อม NIC (Network Interface Card) อย่างน้อย 2 ชุด พร้อมกับฮับ (Hub) หรือ สวิทซ์ (Switch) และสายสัญญาณ (Cable) ซึ่งสายสัญญาณนั้นมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น สาย UTP, สาย Coaxial และสาย Fiber optic เป็นต้น

สายนำสัญญาณ
1. สายคู่ตีเกลียว (Twisted Pair Cable)
ใช้ สำหรับต่อ Computer เข้ากับ Hub หรือ Switch มีอยู่สองชนิดด้วยกัน คือ สายคูตีเกลียวแบบมีชีลด์ (Shield Twisted Pair Cable หรือ STP) และสายคู่ตีเกลียวแบบไม่มีชีลด์ Unshielded Twisted Pair Cable หรือ UTPโดยสาย UTP นั้นจะเป็นสายที่นิยมใช้กันทั่วไป ซึ่งปลายของสาย UTP ทั้งสองด้านจะเข้าหัวต่อแบบ RJ-45

2. สาย Coaxial
มีลักษณะแบบ เดียวกันกับสาย Cable TV คือ มีแกนกลางเป็นทองแดงหุ้มด้วยฉนวน แล้วหุ้มด้วยตาข่ายโลหะ ชั้นนอกสุดหุ้มด้วยวัสดุป้องกันสายสัญญาณ และใช้หัวต่อแบบ BNC ในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้แล้ว

3. สายใยแก้วนำแสงหรือ Fiber Optic
เป็น สายที่ใช้แสงเป็นสัญญาณมีข้อดีคือไม่ถูกรบบกานโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ในอัตราที่สูงและระยะทางได้ไกลกว่า แต่ข้อเสียคือราคาแพง ส่วนมากจะใช้เป็น ลิงค์หลัก (Backbone) ของระบบเครื่อข่าย

อุปกรณ์เครือข่าย
อุปกรณ์ที่ ใช้ในระบบเครือข่าย เพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับส่งข้อมูล หรือทวนสัญญาณ หรือ ขยายเครื่อข่ายโดยทั่วไป เช่น ตัวทวนสัญญาณ (Repeater), ฮับ (Hub), สวิทซ์ (Switch), สวิทซ์เลเยอร์ 3 (Layer 3 Switch) และ เราเตอร์ (Router) เป็นต้น

1. Repeater
ตัวทวนสัญญาณ หรือ รีพีทเตอร์ (Repeater) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทวนสัญญาณของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนตัวกลางในการนําสัญญาณจากตัวกลางหนึ่งไปอีกตัวกลางหนึ่งได้ หรือเป็นการทวนสัญญาณของข้อมูลที่ใช้ตัวกลางชนิดเดียวกันก็ได้ สามารถนํามาใช็ในการขยายจํานวนเซกเมนต์ของเครือข่ายได้

2. Hub
ฮับ (HUB) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อโฮสต์ (Host) ทุกตัวที่ต่ออยู่กับตัวมันเข้าด้วยกัน โดย Hub จะทำการส่งข้อมูลที่ได้รับจาก พอร์ตใดๆพอร์ตหนึ่ง ไปยังทุกพอร์ตที่เหลือ นั้นคือทุก Host ที่ต่ออยู่กับ Hub จะแชร์ Bandwidth หรืออัตราการส่งข้อมูลของเครื่อข่ายกัน ดังนั้นยิ่งมีจำนวน Host ที่ต่ออยู่กับ Hub มากเท่าใด Bandwidth ต่อ Host ก็จะยิ่งลดลง Hub นั้นยังมีประเภทย่อยๆ ได้อีก คือ
1. Manage Hub เป็นฮับที่สามารถจัดการระบบการทํางานได้
2. Stackable Hub เป็นฮับที่สามารถมาเชื่อมต่อพ่วงกัน (Stack) ได้โดยผ่านทางการ Stack port

3. Router
เราเตอร์ (Router) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ใน Layer 3 (Network Layer) ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างกันเข้าด้วยกันที่ Network Layer โดยเราเตอร์จะทำการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด (Routing) ที่จะส่ง packet ที่ส่งมาจากต้นทางไป (Source) ยังปลายทาง (Destination) ด้วยการใช้ตารางการจัดเส้นทาง (Routing Table) ซึ่งเราเตอร์ นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานเรียกว่า Internetwork Operating System (IOS) ยี่ห้อของเราเตอร์ที่นิยมใช้งานกันมาก เช่น Cisco, 3COM และ Nortel เป็นต้น

4. Switch
สวิทซ์ (Switch) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ใน Layer 2 (Link Layer) ทำหน้าที่เหมือนกับฮับ (Hub) บางครั้งจึงเรียกว่า Switching Hub แต่จะฉลาดกว่าฮับ (Hub) ตรงที่สวิทซ์จะส่งข้อมูลจากพอร์ตต้นทาง (Source port) ไปยังเฉพาะ พอร์ตปลายทาง (Destination port) เท่านั้น ทำให้อัตราการรับ-ส่งข้อมูลไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนของโฮสต์ (Host) ที่ต่อเข้ากับตัวสวิทซ์ โดยทุกโฮสต์จะมี Bandwidth เท่ากับ Bandwidth ของตัวสวิทซ์

5. Layer 3 Switch
เลเยอร์ 3 สวิทซ์ (Layer 3 Switch) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ใน Layer 3 (Network Layer) เช่นเดียวกับ Router โดย Layer 3 Switch นั้นสามารถทำหน้าที่ได้เหมือนกับทั้งสวิทซ์ (Switch) และเราเตอร์ (Router) แต่มีจุดที่แตกต่างจาก เราเตอร์ คือ Layer 3 Switch นั้นจะผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี Application Specific Integrated Circuit (ASIC) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สร้างสำหรับ Layer 3 Switch โดยเฉพาะ การทำงานจึงเร็วกว่าเราเตอร์อย่างมาก

Referance : Compspot.net